วันจันทร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2555

Diary 17/09/12


เฮ้ออ  เมื่อคืนกลับบ้านดึกไปหน่อยเลยไม่ได้เขียนไดอารี่เลย
ขอเขียนเช้านี้แทนละกัน :)

ฝนตกแต่เช้าเลย แย่จัง 

ตื่นแต่เช้าอีกละ ..7โมง เช้าตรงไหน อิอิ 
ง๊วงง่วง วันนี้สอบวิชาแผนทั้งนั้นเลย โอ้วม่ายยยยย T.T
นะโม นะโม นะโม จงทำข้อสอบได้ สาธุ -/\-

เย็นมารองเท้าต้องเป็นแบบนี้แน่ ;O


ปล.พรุ่งนี้สอบชีวะ ท่องอีกแล้ว 5 Kingdom ตายตั้งเป็น 55555555555555555555555555 ตลกมากก .
   
'สักวันมันก็จะผ่านไป'

Bye bye diary ^^

วันเสาร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2555

Diary 16/09/12





เช้าวันอาทิตย์ อากาศแจ่มใสจัง อากาศเเย็นสบายกว่าทุกวันเลย

แดดร่มๆ เฮ้ออ น่านอนต่อจริงๆ

ตื่นนอนไปกินข้าวดีกว่า ^O^



หนังท้องตึงหนังตาก็เริ่มหย่อน บรรยากาศแบบนี้มันน่า.. :)
หึหึ.. คงนอนต่อไม่ได้สินะ :(


Do Homework!!!!!! 


อาทิตย์หน้าก็สอบแล้วว งานเยอะแยะเต็มไปหมดเลย เฮ้ออ.. ไม่อยากจะคิดเรื่องเกรด
แต่เอาเถอะ สักวันมันก็จะผ่านไป ชีวิตยังมีพรุ่งนี้ พรุ่งนี้ พรุ่งนี้ ก็ค่อยเอาใหม่ ฮ่าๆๆๆ อิอิ

เหยยย! พรุ่งนี้มีสอบคณิตแผน ลืมเอาสมุดกลับบ้าน โอ้วม่ายยยยย 2.5หน่วยกิต บายย TOT
หึ! พร้อมละ พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับความจริง
จะมีอะไรย่ำแย่ไปกว่านี้อีกไหมชีวิต เซงจริงๆเลอะ 

แม่บอกว่า"ลำบากวันนี้ สบายวันหน้า"  ลำบากสิบปีนี้ สบายร้อยปีหน้าสิแม่ 




ลาก่อนสายลม^^


Diary 15/09/12

นอนตื่นสายสาย รู้สึกดีจัง ฮ้าาาาาาาาาาา
แต่ไม่รู้ทำไมรู้สึกแปลกๆ รู้สึกไม่อยากตื่นเลย เฮ้ !
ตื่นมาก็ได้กลิ่นกาแฟหอมๆร้อนๆจากในห้องครัว


มันเป็นกลิ่นละมุนๆชวนให้รู้สึกอบอุ่นจัง

รู้สึกว่ามีงานเยอะเหลือเกิน
แต่ก็นะ ไว้ก่อนละกันวันเสาร์ก็ควรจะพักผ่อนซะหน่อย
วันอาทิตย์สิถึจะเป็นวันเคลียร์งาน
ฮ้าาาาาาาาาา สบายจัง

ว่าแล้วก็ไปนอนดีกว่า นอนทั้งวันนอนทั้งคืน
ก็มันว่างนี่นา (?)



วันศุกร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2555

Diary 14/09/12



เช้าแล้ววันนี้ยังไม่สาย ตื่นมาก็ร้องเพลงถึงเธอ ♫~
อากาศตอนเช้าๆมันสบายจริงๆ น่านอนต่อเป็นที่สุด [s~ . ~]s
แต่ที่น่าเสียใจคือวันนี้ต้องไปโรงเรียน โฮกกกกกกกก
แต่ก็เอาเถอะ วันสุดท้ายของสัปดาห์แล้วนี่นา ^^



มาโรงเรียนไม่เคยทันเพลงแรกซักที 
บางครั้งก็อยากจะมาเช้าๆ ขึ้นตึกไปมองนักเรียนคนอื่นๆเดินเข้าโรงเรียน
สัมผัสอากาศเย็นๆสบายในตอนเช้า คงรู้สึกดีไม่น้อยแต่.....
เวลาที่ไปคือเวลาของการเร่งรีบของทุกคน มันก็สนุกไปอีกแบบนะ ฮ่าๆ

เวลาพักอันน้อยนิด ไม่พอเลยกับการที่ต้องไปเรียนต่อยาวๆ
/(T * T )\



แต่การได้กลับบ้านเป็นอะไรที่สุขใจที่สุด ฮูเร่ ~


กลับบ้านเรารักรออยู่ 

วันอังคารที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2555

My sister My brother


Disagree.






          คงไม่มีเรื่องใดสำหรับพ่อแม่ ที่จะเป็นทุกข์หรือเศร้าใจมากไปกว่าการที่เห็นลูกๆ สุดที่รักทะเลาะ หรือขัดแย้งกัน แต่ปัญหานี้ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้กับทุกครอบครัว และสามารถคลี่คลายให้เกิดผลดีต่อตัวเด็ก และพ่อแม่ได้ หากมีวิธีจัดการอย่างเหมาะสม

        แต่การแก้ปัญหาของพ่อแม่หลายๆ ท่าน เป็นสิ่งที่ ดร.ปนัดดา ธนเศรษฐกร อาจารย์ประจำสาขาพัฒนาการมนุษย์ สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาการเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กปฐมวัย มองว่า ยังไม่เหมาะสมเท่าที่ควร โดยส่วนใหญ่มักจะใช้วิธีเปรียบเทียบ หรือเข้าไปตัดสินเด็ก แทนที่จะเข้าไปสอนให้เด็กรู้จักวิธีลดความโกรธ และส่งเสริมให้เรียนรู้วิธีที่จะหาทางออกอย่างสร้างสรรค์ ทำให้เกิดผลเสียต่อเด็ก และพ่อแม่ โดยเฉพาะวิธีแก้ปัญหาที่เกิดจากการที่เด็กรู้สึกว่า พ่อแม่ไม่ยุติธรรม หรือรักลูกไม่เท่ากัน

“การเข้าไปตัดสินเด็ก เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง เพราะการเข้าไปบอกว่า ลูกคนนี้ผิด คนนั้นถูก พ่อแม่จะกลายเป็นคนที่ไม่ยุติธรรมสำหรับเด็กทันที และยิ่งจะเพิ่มความร้อนแรงให้เด็กๆ เกิดความรู้สึกอิจฉา หรือชิงดีชิงเด่นกัน วิธีแก้คือ ให้เขาจัดการกันเองค่ะ ไม่ต้องไปสนใจว่า ใครทำใครก่อน ใครหยิบของเล่นชิ้นนี้มาก่อน ไม่ต้องสนใจค่ะ มันคือธรรมชาติของเด็ก ยิ่งเราไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ด้วยแล้ว ยิ่งไม่ควรเข้าไปตัดสินเลย ถ้าเราเข้าไปตัดสิน เราจะยิ่งเข้าไปสร้างนิสัยการแก้ตัวให้แก่เด็ก”

        “ดังนั้น เด็กควรจะได้รับอิสระให้แก้ไขปัญหาความขัดแย้งกันเอง เช่น “เมื่อสักครู่นี้ แม่ยังเห็นเล่นกันอยู่ดีๆ เลย แล้วมาทะเลาะกันแบบนี้ ถ้าอย่างนั้น เล่นกันต่อนะ แม่เชื่อว่า ลูกเป็นพี่น้องกัน ลูกของแม่จะต้องแก้ปัญหากันเองได้” แต่ถ้าเห็นว่า มีการทำร้ายร่างกายกัน ให้เข้าไปจับแยก และสอนว่า บ้านเราไม่ตีกันแบบนี้ หรือลองใช้วิธีให้น้องถามพี่ดูสิว่า พี่จะเล่นอีก 1 หรือ 2 นาที ถ้าบอกว่า อีก 2 นาทีให้ตั้งเวลาเล่นเลย ครบ 2 นาทีแล้วเปลี่ยนมาให้น้องเล่นบ้าง พอน้องเล่น ก็ให้พี่ถามเลยน้องเช่นเดียวกันว่า จะเล่นกี่นาที เป็นต้น” ดร.ปนัดดา ให้แนวทาง

        นอกจากนี้ อีกหนึ่งวิธีช่วยลดความขัดแย้งระหว่างพี่น้อง โดยเฉพาะปัญหาการแย่งของเล่น คือ ควรให้ลูกแต่ละคนเป็นคนเลือกของเล่นด้วยตัวเอง คุณพ่้อคุณแม่ไม่ควรเลือกซื้อมาให้เหมือนๆ กัน เพราะจะยิ่งทำให้เกิดปัญหาแย่งของเล่นเกิดขึ้นได้ แต่การมีของเล่นต่างชิ้นกัน ถ้าเกิดปัญหาแย่งของเล่น สามารถใช้วิธีแลกกันเล่นได้

        ส่วนในกรณีที่เห็นจะจะว่าพี่เป็นฝ่ายตีน้อง ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กปฐมวัยท่านนี้ บอกว่า สิ่งแรกที่พ่อแม่ควรทำ คือ ไม่ควรดุ หรือเข้าไปตีคนพี่ แต่ควรพุ่งความสนใจไปยังคนที่ถูกกระทำก่อน เช่น “เจ็บไหมลูก ถ้าเป็นแม่ แม่จะไม่ตีหนูแบบนี้แน่นอน ไหนเจ็บตรงไหน มาให้แม่ดูหน่อยสิจ้ะ” ซึ่งการให้ความสนใจกับฝ่ายที่ถูกกระทำ และพยายามพูดคุยด้วยความเป็นห่วงเป็นใย ทำให้ลูกอีกคนเรียนรู้ว่า ถ้าตีน้อง เขาจะไม่ได้รับความสนใจจากพ่อแม่ จากนั้นเมื่อลูกอารมณ์เย็นขึ้น ค่อยสอนต่อไป ว่า “ตีน้องแบบนี้ไม่ได้นะคะ หนูมีสิทธิ์โมโหได้ แต่โมโหแล้ว เราต้องไม่ตีค่ะ ครั้งหน้าถ้าหนูโมโห ขอให้เดินมาหาแม่ เดี๋ยวแม่เล่นกับหนูให้หายโมโหเอง แต่ถ้าโมโหแล้วตีน้องแบบนี้ บ้านเราไม่ทำนะคะ” หรือในกรณีที่น้องตีพี่ก็ใช้วิธีเดียวกัน



การทะเลาะกันของพี่น้องจะหนักหนาสาหัสขึ้น หรือทำให้เกิดความร่วมมือกันได้ ขึ้นอยู่กับพ่อแม่เป็นสำคัญ



http://www.meesara.com/?p=1641

Soybean


(Soybeans)ถั่วเหลือง




1. ลดความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน

อาหารและการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต สามารถลดความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนได้นั่นคือ การได้รับอาหารที่มีแคลเซียมสูงเป็นประจำ และหนึ่งในนั้นก็คือ ถั่วเหลือง อีกทั้งยังมีโปรตีนช่วยให้ร่างกายสูญเสียแคลเซียมน้อยลง จากการศึกษาพบว่า ผู้ที่บริโภคโปรตีนจากถั่วเหลืองแทนโปรตีนจากเนื้อสัตว์ จะมีการขับแคลเซียมในปัสสาวะน้อยลง นอกจากนี้สารประกอบในถั่วเหลืองยังมีส่วนช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกระดูก ซึ่งมี daidzein และ genistein ซึ่งเป็น isoflavones (สารที่มีประโยชน์ในสตรีวัยทอง) ช่วยระงับการสลายของกระดูกอีกด้วย

2. ลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง

มีการศึกษาวิจัยพบว่า ประชากรในแถบที่มีการบริโภคอาหารถั่วเหลืองเป็นประจำพบว่า อัตราการตายจากโรคมะเร็งเต้านมต่ำ ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ ชาวญี่ปุ่นในอเมริกาซึ่งมีการบริโภคผลิตภัณฑ์ถั่วเหลืองน้อยกว่าชาวญี่ปุ่น ในประเทศญี่ปุ่นเอง แต่มีวิถีอื่น ๆ เหมือนกันพบว่า มีอัตราการเกิดโรคมะเร็งเต้านมสูงกว่า ดังนั้นการบริโภคถั่วเหลืองเพียงวันละ 1 ครั้ง จะช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งเต้านม อาหารถั่วเหลืองดังกล่าวได้แก่ ปริมาณ 1/2 ถ้วยตวงของถั่วเหลืองต้มสุก หรือเต้าหู้ขาว หรือจะเป็นนมถั่วเหลือง 1 แก้วก็ได้

3. ถั่วเหลืองกับโรคเบาหวาน

ถั่วเหลืองเป็นอาหารที่มีบทบาทสำคัญในคนเป็นโรคเบาหวาน เนื่องจากสามารถลดการดูดซึมน้ำตาลกลูโคสเข้ากระแสเลือด เพราะผู้ป่วยเบาหวาน ร่างกายไม่สามารถสร้างอินซูลินเพียงพอในการขนถ่ายน้ำตาลในเลือดไปส่งให้ เซลล์ต่าง ๆ เพื่อให้เกิดพลังงานได้ ดังนั้นจึงมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น และล้นออกมาในปัสสาวะ นอกจากนี้โปรตีนจากถั่วเหลืองอาจช่วยยับยั้งการเกิดผลที่ตามมาของเบาหวานคือ โรคหลอดเลือดอุดตัน และโรคไต ทั้งยังมี glycemic index (ค่าดัชนี้น้ำตาล) ต่ำ ช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดขึ้นได้ช้า เนื่องจากมีสารไฟเตท และแทนนิน ซึ่งจะทำให้การย่อย และดูดซึมแป้งลดลง รวมไปถึงมี soluble fiber (เส้นใยอาหารชนิดที่ละลายในน้ำได้) ช่วยให้การดูดซึมน้ำตาลช้าลงด้วย 

4. ลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจขาดเลือด

อาหารถั่วเหลืองไม่เฉพาะมีไขมันอิ่มตัวต่ำ ไม่มีโคเลสเตอรอลเท่านั้น แต่โปรตีนในอาหารถั่วเหลืองยังช่วยลดโคเลสเตอรอล โดยมีการศึกษามากกว่า 40 การศึกษาแสดงว่า โปรตีนจากถั่วเหลืองช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือดลงได้ถึงร้อยละ 10-15 ซึ่งสามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดหัวใจวายได้ถึงร้อยละ 20 ปริมาณโปรตีนจากถั่วเหลือง 25 กรัมต่อวันหรือปริมาณ 1 ถ้วยตวงสามารถลดระดับโคเลสเตอรอลได้ นอกจากนี้ยังช่วยยับยั้งการเกิดออกซิเดชั่นของโคเลสเตอรอลซึ่งจะมีผลในการ ทลายผนังหลอดเลือด ซึ่งสาร genistein ยับยั้งการเกิด plaque ที่เกาะที่ผนังเส้นเลือดอันเป็นเหตุให้เส้นเลือดอุดตัน และยังช่วยยับยั้งการเกิดการจับตัวของเกร็ดเลือดซึ่งทำให้เกิดก้อนลิ่มเลือด 

5. ถั่วเหลืองมีธาตุเหล็กสูง

การขาดธาตุเหล็กทำให้เกิดโรคโลหิตจาง ซึ่งพบมากในคุณแม่ตั้งครรภ์ และเด็ก ตลอดจนวัยรุ่น และอาจพบได้ในผู้ที่เป็นมังสวิรัติถ้ามีการบริโภคไม่ถูกต้อง กระนั้น ถึงแม้ถั่วเหลืองจะมีธาตุเหล็กสูง ขณะเดียวกันก็มีสารต้านการดูดซึมแร่ธาตุเหล็กด้วย ได้แก่ ไฟเตท และแทนนิน ดังนั้นการเสริมให้ร่างกายดูดซึมแร่ธาตุเหล็กจากถั่วเหลือง อาจทำได้หลายวิธี เช่น การเสริมเนื้อสัตว์ในอาหารถั่วเหลือง (สำหรับผู้ที่ไม่ใช่มังสวิรัติ) หรือเสริมวิตามินซีจากอาหารในมื้อที่มีถั่วเหลือง เช่น ผลไม้ น้ำผลไม้ อาหาร หรือพืชผักที่มีวิตามินซีสูงในมื้ออาหารที่มีถั่วเหลือง เช่น กะหล่ำปลี บลอคโคลี พริกเขียว มันฝรั่ง เป็นต้น

6. อาหารถั่วเหลืองกับสุขภาพของไต

ผู้ที่เป็นโรคไต ต้องจำกัดการบริโภคโปรตีนและโคเลสเตอรอล โปรตีนจากถั่วเหลือง เป็นอาหารที่ผู้ป่วยโรคไตได้รับการแนะนำให้ทดแทนโปรตีนจากสัตว์ เนื่องจากพบว่า การทำงานของไตดีขึ้น นอกจากนี้ยังลดโคเลสเตอรอลในเลือดอีกด้วย ซึ่งมีการศึกษาพบว่า โปรตีนจากถั่วเหลืองไม่ได้มีผลต่อการขับแคลเซียมออกในปัสสาวะสูงเท่าโปรตีน จากเนื้อสัตว์ ดังนั้นการใช้โปรตีนจากถั่วเหลืองแทนโปรตีนจากเนื้อสัตว์จึงช่วยลดอุบัติ การณ์การเกิดโรคนิ่วในไตได้

7. อาหารถั่วเหลืองกับสุขภาพผู้หญิง

ผู้หญิงที่กินอาหารถั่วเหลืองพบอุบัติการณ์การเกิดมะเร็งเต้านมน้อย และยังพบอีกว่า ผู้หญิงออสเตรเลียที่กินแป้งถั่วเหลืองประมาณ 1/2 ถ้วยตวงทุกวัน อาการผิดปกติหลังหมดประจำเดือนลดลง ทั้งยังช่วยลดการสลายของกระดูก จึงช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนในหญิงวัยหมดประจำเดือนที่บริโภคอาหาร ถั่วเหลืองเป็นประจำด้วย

อย่างไรก็ตาม การบริโภคอาหารถั่วเหลือง ไม่ได้เป็นหลักประกันเพียงอย่างเดียวว่า จะช่วยป้องกันโรคต่าง ๆ ได้ แต่จากปรากฎการณ์ที่พบ อาหารถั่วเหลืองมีบทบาทต่อสุขภาพโดยเฉพาะของผู้หญิง ทำให้ต้องมีการศึกษาเรื่องนี้ต่อไปเพื่อให้ยืนยันได้แน่ชัดขึ้น

สำหรับวิธีการเพิ่มการบริโภคอาหารถั่วเหลืองในชีวิตประจำวัน ได้แก่

- ดื่มนมถั่วเหลืองเป็นอาหารเช้า

- ใช้เนื้อเทียม/โปรตีนเกษตร เป็นส่วนประกอบของอาหารแทนเนื้อสัตว์

- ใช้ถั่วเหลืองฝักอ่อน/ถั่วแระ และถั่วงอกหัวโตเป็นส่วนประกอบของสลัดและอาหาร

- ใช้น้ำนมถั่วเหลืองในการทำเค้ก แพนเค้ก

- ควรใช้แป้งถั่วเหลืองแทนแป้งสาลี

- ใช้ผลิตภัณฑ์เต้าหู้ในการทำอาหาร เช่น ผัดกับผัก แกงจืด เป็นต้น




       

How to Remember


Remember Remember..


  

รู้ไหมว่า...วัน ๆ หนึ่ง เราต้องใช้สมองจดจำอะไรบ้าง...

จำศัพท์ภาษาอังกฤษ จำ tense ตารางธาตุ ประวัติศาสตร์ อักษรสูง กลาง ต่ำ ชื่อเพื่อน หน้าเพื่อน จำเนื้อเพลง วันเกิดพ่อแม่พี่น้อง เบอร์โทรศัพท์ และจำ จำ จำ อีกหลาย ๆ อย่าง โดยเฉพาะจำอะไรที่เป็นวิชาการ มันช่างจำได้ยากเย็นเต็มที ถึงแม้จะมีคำกล่าวว่า "การเรียนด้วยความเข้าใจนั้นดีที่สุด" แต่จะมีใครกล้าปฏิเสธมั๊ยล่ะว่าเราเรียนได้โดยไม่ต้องใช้การท่องจำ...

เทคนิคแรก  โยงสิ่งที่ต้องจำไปหาสิ่งที่จำง่ายและติดตากว่า
เช่น ภาษาอังกฤษคำว่า "sue" แปลว่าฟ้องร้อง การออกเสียงคำว่า "sue" คล้ายกับคำว่า "สู้" ของไทย แต่การสู้ในที่นี้ เราต้องสู้กันในศาล เพราะฉะนั้นก็หมายความว่าฟ้องร้องนั่นเอง (สำหรับการท่องศัพท์ภาษาอังกฤษ ขอแนะนำเพิ่มเติมว่าควรจะท่องกลุ่มคำที่มีความหมายเหมือนกัน จะได้จำไปคราวเดียว ไม่ต้องท่องหลายรอบ เช่น purpose-goal-aim-intention-objective)

เทคนิคที่สอง  ใส่ทำนองร้องเป็นเพลง
ถ้าอยากจะจำอะไรสักอย่างหนึ่งยาว ๆ ลองใส่ทำนองเข้าไปแล้วลองร้องออกมา นอกจากจะสนุกสนานล้ว อาจจะจำได้ดีขึ้นด้วย แต่จะไพเราะเสนาะหูขนาดไหน อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถเฉพาะตัว

เทคนิคที่สาม  วิธีจำโดยสังเกตตัวอักษรที่เหมือนกัน
ใช้ได้ผลดีกับวิชาภาษาไทย เช่น คำนวน ต้องเขียนว่า คำนวณ ใช้ "ณ" เหมือนคำว่า คณิตศาสตร์ หรือ เข้าฌาน สะกดด้วย "น" เพราะเป็นการนั่งแบบ "นิ่ง ๆ"

เทคนิคที่สี่  ประโยคเด็ดช่วยจำ
แต่งประโยคหรือเรียบเรียงเรื่องที่ต้องจำเป็นข้อความสั้น ๆ และถ้าสามารถ อาจแต่งให้คล้องจองกัน จะช่วยให้จำได้ง่ายยิ่งขึ้น เช่น ประโยคยอดฮิตที่ว่า "ไก่ จิก เด็ก ตาย บน ปาก โอ่ง" ทำให้พวกเราจำอักษรกลางได้อย่างง่ายดาย

เทคนิคที่ห้า  จำเป็นรูปภาพ
สมองคนเราจำรูปได้ดีกว่าข้อความ ดังนั้นพวกสูตรคณิตศาสตร์ต่าง ๆ ลองเขียนเป็นตัวใหญ่ ๆ ทำให้โดดเด่นมีสีสัน แปะไว้ข้างฝาบ้าน มองทุกวัน หลาย ๆวัน เราจะจำภาพหรือสูตรนั้นได้โดยอัตโนมัติ ที่สำคัญอย่าลืมมองเจ้าสิ่งที่แปะบ่อย ๆ ด้วย




           เทคนิคการจำก็เป็นความสามารถเฉพาะตัวเหมือนกัน ต้องมีการฝึกฝนและพลิกแพลงให้เข้ากับสถานการณ์ การจำเรื่องยาก ๆ อาจต้องใช้หลายเทคนิคหรือเทคนิคขั้นสูงต่อไป






วันอังคารที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2555

My Profile

My Profile Pround


ณัฏฐิกา   ดีทอง  ม.4/1 เลขที่ 9

Study : Satit Kaset kps.

E-mail. nuttika_pu@hotmail.com

Facebook. http://www.facebook.com/Pround.iee



For me.. Laughter will always be the best medicine.